ภาวนาแล้วเป็น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ภาวนาแล้วเกิดอาการเกร็ง”
กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมขอเล่าอาการระหว่างการภาวนาถวายหลวงพ่อ และขออุบายจากหลวงพ่อหน่อยครับ
ที่ผ่านมาผมภาวนาทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ภาวนาได้ดี ตกภวังค์บ้าง แต่ก็ค่อยๆ ก้าวหน้า เอาชนะความเจ็บทางกายได้ดีเรื่อยๆ แต่พักหลังอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการบางอย่างที่ผมเอาชนะมันไม่ได้คืออาการเกร็งที่หัว และคอ และใบหน้าครับ พอผมจับลมหายใจไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าหัวก็เหมือนมีคนเอามือมากระชากหัวกะโหลกให้แยกจากกัน โดยเหมือนมีคนเอานิ้วมือมางัดเบ้าตาไปทางซ้ายทีขวาที จนถึงขนาดหัวมันโยกไปมาช้าๆ เลยครับ ที่ขมับก็เหมือนมีคนเอากำปั้นมายีหัวแบบแรงๆ ตลอด และขากรรไกรมันเกร็งจนเหมือนมีแรงอะไรบางอย่างมาจับคางผมให้เลื่อนซ้ายเลื่อนขวาและง้างปากผมออก และคอก็จะเกร็งจนหัวมันเงยขึ้นไปเลย
กระผมก็ไม่พยายามสู้โดยไม่สนใจมัน คิดว่ามันคือขันธมาร โดยคิดว่า อะไรที่เราเจอ ครูบาอาจารย์ก็คงต้องเจอเหมือนกัน ท่านยังเอาชนะมันได้ แต่พอสู้ไปสักพัก ลมหายใจก็ไม่รู้สึก เพราะมันเกร็งมากจนชา ลมหายใจก็ไม่รู้สึกและจับไม่ได้เลย เพราะแต่ละครั้งที่หายใจเข้าหรือออก ความเกร็งมันก็จะทวีคูณทุกครั้งที่ลมหายใจมีการเคลื่อนเข้าเคลื่อนออก
พอไม่ไหวแล้ว ผมก็ลืมตาขึ้น ปรากฏว่าคอผมเกร็งมาก ยืดขึ้นเหมือนกิ้งก่าชูคอ และคางก็เหมือนคนขากรรไกรค้าง ปากอ้าค้างจนแบบอ้ากว้างที่สุด แต่พอลืมตาแป๊บหนึ่งก็หายครับ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่นั่ง จากแต่ก่อนนั่งได้ชั่วโมง จะเจ็บขาหรือปวดหลังอย่างไรก็ทนได้ เพราะความเจ็บอยู่กับที่ เดี๋ยวนี้เต็มกลืนก็ ๒๐นาที เพราะร่างกายมันโดนแรงความเกร็งทำให้ขยับไปมาเอง ทั้งๆ ที่ผ่านมาไม่เคยเจออาการแบบนี้เลย แต่ผมก็พยายามภาวนาต่อไปถึงแม้จะยังเจออาการแบบนี้
กระผมรบกวนขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยบอกชี้แนะนำให้ทีครับว่า คนอื่นทั่วไปเจออย่างกระผมหรือเปล่าครับ หรือว่ามันเป็นวาสนาหรือกรรมเฉพาะตนของกระผมที่ทำให้มารขวางกั้นการภาวนาแบบนี้ครับ และผมควรจะต้องทำอย่างไรดีครับเพื่อให้กลับมาภาวนาได้เหมือนเดิม
ตอบ : นี่เวลาคนภาวนานะ ถ้าตั้งใจภาวนา ถ้าภาวนาแล้วประสบความสำเร็จมีความสุข คนนั้นก็จะมีความชื่นใจ มีอำนาจวาสนาบารมี ทำแล้วประสบความสำเร็จมีความชื่นใจมีความสุขของเขา เวลาคนเราเวลาทำไปแล้วบางครั้งมันก็ประสบความสำเร็จ บางครั้งมันก็มีอุปสรรค คำว่า “มีอุปสรรค” อุปสรรคของคนมันจะมีมากมีน้อยนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ทีนี้อีกเรื่องหนึ่งนะ คนเราเวรกรรมแตกต่างกันมา เห็นไหม เวลาโดยทั่วไปที่เวลาพระพุทธศาสนา ในการฝึกหัดภาวนาที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านภาวนาของท่านมาเวลาคุยกันในวงกรรมฐาน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ บอกว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ธรรมะอยู่ฟากตาย พูดกันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส พูดกันด้วยความรื่นเริง เพราะอะไร เพราะต่างองค์ต่างได้เผชิญกับวิกฤติของแต่ละองค์มา เผชิญมาทั้งนั้นน่ะ ความทุกข์ความยากในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านเผชิญของท่านมา เวลาท่านคุยกัน คนจริงกับคนจริงคุยด้วยกันไง
แต่เวลาสังคมเชื่อถือขึ้นมา ในปัจจุบันนี้เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติบอกว่า มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทุกข์ไปยากอย่างนั้น ทำอย่างไรก็ได้ ทำของเรา ทำง่ายๆ ทำแล้วมันจะมีความสะดวกความสบายของเขา
อันนั้นมันเป็นอุปาทานหมู่ คำว่า “เป็นอุปาทานหมู่” ทำของเขาแล้วเขาว่าเขามีความสุข เขาว่าเขามีมรรคมีผลของเขา มีมรรคมีผลของเขาเพราะมันเป็นการรับรองในหมู่ของเขา ในหมู่ของเขาทำกันอย่างนั้นไง มันเหมือนกับสังคมสังคมหนึ่งมีความเชื่อกันอย่างไรก็คุยกัน ยอมรับความเชื่อกันในสังคมนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาบอกว่าทำง่ายๆ ทำแล้วมีความปลอดโปร่ง ทำแล้วมีความสุขมีความสบาย การประพฤติปฏิบัติแบบนี้มันก็เข้ามรรคเข้าผล ไม่ต้องไปทำอัตตกิลมถานุโยค ทำแบบพระป่า พระป่านี่ทำรุนแรงเกินไป ทำแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากอย่างนั้น เราไม่ต้องการทำอย่างนั้น
แต่ความทุกข์ความยากอย่างนั้นทำแล้วมันเกิดสัจจะมันเกิดความจริง มันเกิดความจริงไง ความจริงเพราะมันหลอกตัวเองไม่ได้ไง ถ้ามันหลอกตัวเองไม่ได้การว่าอีกชุมชนหนึ่ง อีกชุมชนหนึ่งเป็นอุปาทานหมู่ คำว่า “อุปาทานหมู่” ความเชื่อตามๆ กันไปเป็นอุปาทานหมู่น่ะ
พูดไปแล้ว จริงๆ ลึกๆ แล้วมันสงสัยทั้งนั้นน่ะ คำว่า “อุปาทาน” มันไม่ใช่ตัวจริง ถ้าอุปาทานมันก็มีความสงสัยอยู่ลึกๆ แต่คำว่า “อุปาทานหมู่” คนนั้นว่าใช่คนนี้ว่าใช่ ใช่ก็เลยใช่ตามๆ กันไป พอใช่ตามๆ กันไปนะ ก็ทำกันง่ายๆ แบบนั้นไง แต่เวลาทำทุกข์ทำยากอย่างนี้ โอ้โฮ! มันทุกข์มันยากนะ
นี่พูดถึงว่าเวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านปฏิบัติมาถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง ท่านเคยผ่านวิกฤติในการประพฤติปฏิบัติมา เวลาเจอเหตุการณ์อย่างนี้อย่างที่ผู้ถามนี่ การถามอย่างนี้ถามมา การถามมันก็อยู่ที่อุปสรรคของแต่ละบุคคล ไอ้นี่เพราะคนที่ถามมาเขาเคยเขียนถามมาบ้างแล้ว ถามมาบ้างแล้ว คนที่ภาวนา คนทำงาน คนทำงานมีอุปสรรคไปทุกๆ คนน่ะ มีมากมีน้อย มันต้องมีของมันอยู่แล้ว ถ้ามีมากมีน้อย แต่เขาก็ทำงานประสบความสำเร็จของเขามา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนามานี่ เขาก็ผ่าน เขาบอกว่าเขาภาวนาวันละหลายๆชั่วโมง เขาภาวนาของเขามา เขาทำของเขามา เขาก็มีความเชื่อ มีความเชื่อในพระพุทธศาสนา มีความเชื่อในมรรคในผล แล้วถ้ามรรคผลนี้มันจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากการกระทำ เห็นไหม เวลาเกิดขึ้นจากการกระทำ
เวลาพระเราบวชมา บวชมาก็ศึกษาเล่าเรียนในเรื่องปริยัติ ศึกษาปริยัติเสร็จแล้ว ศึกษาจบแล้ว เขาให้ศึกษาแล้วให้ปฏิบัติ เวลาไปปฏิบัติแล้ว ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จแล้วก็เกิดปฏิเวธ เกิดสัจจะความจริงในใจ
คนที่เขาบวชมาแล้วเขามีการศึกษา ศึกษามาแล้วก็ว่ามีความรู้ มีความรู้ศึกษาแล้วก็ได้วุฒิ ได้วุฒินั้นก็ไปบริหาร บริหารแล้วก็เอาตำแหน่งหน้าที่ทางโลกอันนั้นเขาก็อยู่ในคันถธุระ ในการปกครอง ในการเผยแผ่ศาสนาในทางทฤษฎี
แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ เวลามันภาวนาถ้ามันมีเหตุมีผลของมันขึ้นมา นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาท่านยืนยัน เวลาท่านออกมาโครงการช่วยชาติฯ ท่านยืนยันว่าท่านประสบความสำเร็จในใจของท่าน
อู้ฮู! มีพระเยอะแยะเลยบอกว่า “ใครรับรอง ใครรับประกัน มันต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารับรอง”
ท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบไว้ให้สันทิฏฐิโก ความรู้เฉพาะตน ความรู้จริงในใจอันนั้นมันเป็นความจริง นั่นท่านพูดของท่านอย่างนั้นถ้าท่านพูดของท่านอย่างนั้น ความจริงที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ความจริงอย่างนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันจะมีมรรคมีผลขึ้นมา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจนั้น ถ้าเป็นสัจจะความจริงในหัวใจนั้น มันไม่มีความลังเลสงสัยไง
นี่คำว่า “ความลังเลสงสัย” นะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีสัตย์ คำว่า “มีสัตย์” นะ ถ้ามันเกิดสงสัย เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นไป ตอนท่านไปอยู่บ้านผือ ท่านเป็นโรคเสียดอก ท่านว่านะ เวลาพิจารณาของท่านไป พิจารณาของท่านไป มันปล่อยวางหมด แล้วท่านพิจารณาของท่าน มันเสวยอารมณ์แล้วมันก็ปล่อย มันมีความคิดขึ้นมาเลย บอก “นี่ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ นี่ไม่ใช่นิพพานหรือ”
แต่ท่านบอกว่า เวลามันเสวยอารมณ์แล้วมันปล่อย นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ คำว่า“นี่” ของท่าน เห็นไหม “นี่” คือว่ามันยังสงสัยไง ลึกๆ แล้วมันก็มี “นี่ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ ที่เราปฏิบัตินี่ไม่ใช่มรรคผลหรือ” คำว่า “นี่” มันก็สงสัยไง
นี่ไง คำว่า “ถ้าคนมีสัตย์” มีสัจจะมีความจริงในใจนะ สิ่งใดที่มันอยู่จิตใต้สำนึกเรา เราระแวงเองไง เราระแวงว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่ แล้วเราจะระแวงว่ามันจะจริงหรือไม่จริง
แต่ผู้ที่ปฏิบัติลัดสั้น ผู้ที่ต้องเอาง่ายๆ เขาจะรับรองกันไปเอง แล้วมันเป็นอุปาทานหมู่ คำว่า “อุปาทานหมู่” ลึกๆ ในใจมันต้องมี “นี่” ไอ้หรือว่าที่เราเป็นอยู่นี่ใช่หรือไม่ใช่ ไอ้ที่ว่าใช่ๆ มันใช่หรือไม่ใช่...มันมีของมันอยู่ ถ้ามีของมันอยู่ เห็นไหม
ท่านบอกว่า เพราะการศึกษา เพราะท่านศึกษามา ศึกษามาแล้วบอกว่า ถ้าลังเลสงสัยแล้ว ยกให้เป็นสมุทัย สมุทัยคือความลังเลสงสัย สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก สมุทัยคือกิเลส มันจะมีมากมีน้อยมันเป็นกิเลสทั้งนั้นน่ะ
ถ้ามันเป็นความจริง บอกว่า ถ้าสันทิฏฐิโก มันถอนรากถอนโคนเลย มันถอนรากถอนโคนถึงจิตใต้สำนึกเลย จบสิ้นกระบวนการของมันจบเลย อันนั้นท่านถึงว่าเป็นความจริงของท่าน นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา แต่ท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้นน่ะ คำว่า “ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา” นะ
ฉะนั้น ในสังคมที่ปฏิบัติมันก็มีแนวทางหลากหลาย ถ้ามันตรงจริตนิสัย ถ้ามันตรงจริตนิสัย ทำแล้วมันเป็นความสงบร่มเย็น มันเป็นความสุขของเขา อันนั้นก็วาสนาของเขาได้แค่นั้น
แต่เวลาครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัตินะ จะไปศึกษาแนวทางใดก็แล้วแต่ ดูเจ้าชายสิทธัตถะสิ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เกือบหมดเลย ศึกษาจากทุกแนวทาง ทุกวิธีการปฏิบัติเลย แล้วท่านไม่เชื่อ อาฬารดาบส อุทกดาบสยังบอกเลย “เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา มีความรู้เท่าเรา” อาจารย์ค้ำประกันเลยว่ามีความรู้เท่าเราเลย เป็นเรานี่ถ้าอาจารย์ยกย่อง อู้ฮู! ลอยเลย นี่ท่านยังไม่เอาเลย
นี่ก็เหมือนกัน แนวทางปฏิบัติมันหลากหลาย ถ้าแนวทางปฏิบัติหลากหลายถ้าเป็นจริตนิสัยของเขา ถ้าเขาเชื่อสิ่งใด เขาชอบสิ่งใด เขาทำของเขาแล้ว เขาทำแล้วได้ประโยชน์ของเขา เขาได้ประโยชน์แค่นั้น ได้แค่นั้น
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ นะ ความจริงมันเป็นความจริงในใจของเรา สงสัยหรือเปล่า เราจะตายเปล่าใช่ไหม เราปฏิบัติแล้วเราจะตายเปล่าใช่ไหม ถ้าเราไม่ตายเปล่า เราต้องมีเหตุมีผลสิ คำว่า “มีเหตุมีผล” นะ มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่จิตมันพัฒนาการของมัน
ดูสิ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อก่อนนะ เมืองไทยเราบอกว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา สินค้าของเราเอามาใช้มันมีแต่ของคุณภาพต่ำๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วด้วยพัฒนาการ ด้วยการอุตสาหกรรมในนวัตกรรมที่มันได้ทำบ่อยครั้งๆ จนมีความชำนาญขึ้นมา เดี๋ยวนี้สินค้าไทยนะ เดี๋ยวนี้มีความเชื่อถือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สินค้าไทย มันก็เหมือนของเราเมื่อก่อนใช้ของญี่ปุ่น ถ้าของญี่ปุ่นดีกว่าของไทย ตอนนี้รอบข้างเมืองไทย ของไทยดีกว่าของเขา นี่พัฒนาของการของมันพัฒนาของมันไง
นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเราที่ประพฤติปฏิบัติ วิวัฒนาการของจิต จิตที่มันพัฒนาการของมันขึ้น มันจะมีวุฒิภาวะ มันจะรู้จริงเห็นจริงของมัน มันจะมีวาสนาของมัน มันจะมีกำลังของมัน ถ้ามีกำลังของมันนะ นี่แนวทางที่ปฏิบัติ มันเหมือนงานน่ะ งานอะไรที่มันทำแล้วมันเป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์ ถ้างานสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์มันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ มันทำแล้วมันไม่มีผลตอบแทน
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ในการภาวนา การภาวนาเราฝึกหัดภาวนาเป็นความจริงนะถ้าเป็นความจริง ทีนี้คนมีศรัทธามีความเชื่ออยากจะประพฤติปฏิบัติ ทีนี้มันมีอยู่๒ แนวทาง ไม่ใช่ ๒ แนวทาง มันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนา เป็นเรื่องของจิตไงเราจะบอกว่า เวลาคนภาวนาไปแล้วมันจะมีอุปสรรค เวลาคนภาวนาไปแล้วถ้าจิตมันมีปัญหาขึ้นมา อันนี้กรณีหนึ่ง แล้วก็จะโทษกันว่าเพราะภาวนาแล้วมันถึงเป็นแบบนี้ๆ ภาวนาแล้วเป็นแบบนี้ๆ
เวลาภาวนาขึ้นไปถ้าเกิดมรรคเกิดผลขึ้นไป ศีล สมาธิ ปัญญา จากปุถุชน ถ้าเรามีความชำนาญของเรา เรารักษาจิตของเราได้ มันจะเป็นกัลยาณปุถุชนกัลยาณปุถุชน หมายความว่า มันรู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร
ไอ้พวกเราที่มันภาวนากันไม่ลงก็รูป รส กลิ่น เสียง รูป รส กลิ่น เสียงทั้งนั้นน่ะ มันกระทบกับจิตทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาเท่า นี่มันเป็นบ่วงของมารมันเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเรารู้เท่า มันปล่อยมันวางได้ รูปก็สักแต่ว่ารูป เสียงก็สักแต่ว่าเสียง รสก็สักแต่ว่ารส สภาวะมันรู้เท่าทั้งหมด มันมีจริงของมัน มันเป็นข้อเท็จจริงของมัน แต่จิตใจของเรามั่นคงไม่หวั่นไหวไปกับมันนี่กัลยาณปุถุชน ทำสมาธิได้ง่าย
แล้วถ้ายกขึ้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผลอนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี่เราจะบอกว่าพัฒนาการของจิต วิวัฒนาการ พัฒนาการของมันที่มันพัฒนา นักภาวนาเขาภาวนากันอย่างนี้ ถ้านักภาวนาภาวนาอย่างนี้ มันเป็นขั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป
แต่ถ้ามันภาวนาขึ้นไปมันมีเหตุมีผลใช่ไหม มันชัดเจน มันเป็นมรรค แต่ถ้าจิตในปัจจุบันนี้มันมีปัญหาอยู่ปัญหาหนึ่ง เขาบอกภาวนาแล้วมันจะมีปัญหาๆ...มันไม่ใช่ มันมีเหตุอย่างนี้ มันมีเหตุที่ว่า จิตของคนที่มันผิดปกติมาตั้งแต่ต้น อย่างเช่นเรามีความเก็บกดหรือว่าจิตของเรามันผิดปกติ ผิดปกติปั๊บเราก็ไปหาหมอ หมอก็ให้ยาคุมมาอะไรมา นี่มันผิดปกติมาตั้งแต่ต้น ถ้าผิดปกติมาตั้งแต่ต้น เวลาภาวนาไปแล้วมันจะเกิดจินตนาการ ถ้าจินตนาการอย่างนั้นไปแล้วมันจะมีปัญหาไง
ถ้าจิตของใครก็แล้วแต่ที่มันผิดปกติ มันย้ำคิดย้ำทำ มันมีความติดข้องในใจถ้าจะมาฝึกหัดภาวนาเพื่อเป็นธรรมโอสถก็กำหนดพุทโธเฉยๆ ไม่ต้องใช้สติไม่ต้องใช้ปัญญาให้มากเกินไปนัก พุทโธเฉยๆ มีสติ ไม่ต้องมีปัญญา ปัญญามันจินตนาการ มันคิดของมันไป เราฝึกหัดให้มันมีสติ ให้จิตมันกลับมาเป็นปกติ ถ้าจิตกลับเป็นปกติแล้ว ถ้ามันลงสมาธิได้ ถ้ามันลงสมาธิได้
ถ้าจิตมันไม่ปกติมันลงไม่ได้ ลงไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันติดข้อง รูป รสกลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร คนที่จิตมันผิดปกติมันจะแว่วมันจะได้ยินเสียง มันจะยึดมั่นถือมั่นของมัน ตรงนี้ๆ แล้วเวลาไปหาหมอ หมอเขาจะให้ยา ถ้าให้ยา เรากินยานั้น เราก็พุทโธของเราเบาๆ เพื่อต้องการให้จิตเราสงบระงับเข้ามาก็พอ ให้กลับมาเป็นปกติไง นี่เราจะพูดประเด็นหนึ่ง ประเด็นที่ว่ามันผิดปกติมาตั้งแต่แรก ถ้าผิดปกติมาตั้งแต่แรก เราต้องดูแล เราต้องดูแลรักษาของเรา ดูแลรักษาของเราให้มันกลับมาเป็นปกติ
แต่ทีนี้ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ว่าผิดปกติ ทีนี้เป็นปัญหาว่าพวกเราเป็นพวกที่ปกติ พวกที่นักปฏิบัติ พวกที่นักปฏิบัติเราต้องการการปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้าเราปฏิบัติอยู่แล้ว เวลาที่เราปฏิบัติไป เพราะผู้ถามว่า ภาวนาแล้วอาการมันเกร็ง แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ภาวนาของเขา เพราะภาวนาของเขาแล้วมันก็ราบรื่น ราบรื่นมา ภาวนาหลายๆ ชั่วโมง หลายชั่วโมง มีการตกภวังค์บ้าง มีอุปสรรคบ้าง แต่มันก็ก้าวหน้ามาเรื่อยๆ ก้าวหน้ามาเรื่อยๆ
เวลาคนภาวนาไปมันก็ดี เวลาดีมันก็ดีขึ้นมาได้ ถ้าเวลามันเสื่อม เวลามันเสื่อม มันมีอุปสรรคขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าเวลามันมีอุปสรรคขึ้นมา มันมีอาการต่างๆอาการต่างๆ อย่างนี้ อาการต่างๆ อย่างนี้มันเกิดขึ้นๆ ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมอย่างที่เขาว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ถึงเวลาที่มันจะประสบของมัน เราก็แก้ไขของเรา เราแก้ไขของเรานะ
เริ่มต้นวิธีการอย่างที่ทำนี่ เขาบอกว่าเวลาเขาเป็นอย่างนั้นเขามีสติปัญญาของเขา เพราะเขาฟังเทศน์พอสมควร ว่าของเขา เขาจะอยู่ของเขาแบบนี้ ว่ามันเป็นขันธมาร เขาจะดูแลของเขา มันไม่เชื่อ ไม่ส่งออกไป
ถ้าไม่ส่งออกไป เห็นไหม อยู่สภาวะแบบนี้ รักษาให้มันหาย มันจะเริ่มจางออกไปๆ เหมือนคนที่มีอุปสรรคนะ เวลาปกติก็ไม่เห็นมีอะไร พอจะนั่งขึ้นมามันจะมีอุปสรรค ตัวโยก ตัวคลอน ตัวสั่น ตัวไหวต่างๆ เรากำหนดของเราไว้ เพราะถ้ามันเกิดสิ่งใดขึ้น เกิดสิ่งใดขึ้นแล้วมันก็จะจำไว้เป็นแผ่นเสียงตกร่อง แล้วสิ่งนี้มันจะเป็นอุปสรรคตลอดไป มีอุปสรรคตลอดไป พอจิตมันลงขณะนี้มันจะเกิดอาการอย่างนี้ เกิดอาการอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องกำหนดพุทโธๆ จนมันจะค่อยๆ จางไปๆๆถ้ามันลงสมาธิก็หาย ถ้ามันลงสมาธิได้นะ ถ้าลงสมาธิได้ สิ่งนี้จะหายหมด แต่ถ้ามันลงสมาธิไม่ได้ ลงสมาธิไม่ได้เพราะสิ่งนี้อาการบางคนมันรุนแรงมากถ้าบางคนมีเวรมีกรรมนะ
อย่างเช่นเราเคยอยู่กับพระ พระเราเวลาสวดปาฏิโมกข์ ทุกคนก็สวดปาฏิโมกข์ได้โดยปกติ เราอยู่กับพระ มันมีพระอยู่องค์หนึ่ง เวลาสวดปาฏิโมกข์ทีไรปากจะเป็นนกกระจอก ปากจะเน่าทุกทีเลย ปากจะเน่าเลยนะ แล้วพอเลิกสวดหาย พอจะมาสวด ปากเน่าเลย จนสุดท้ายเขาเอาหนังสือ เพราะเขาเป็นคนที่มีศรัทธา พระนะ มีศรัทธามาก เห็นหมู่คณะทำ เขาก็อยากทำตาม แล้วเขาอยากได้บุญกุศลไง เพราะว่าในพระไตรปิฎก เวลาสวดปาฏิโมกข์นี่เป็นการทำแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ก่อนท่านเป็นคนแสดงปาฏิโมกข์เอง แล้วมีอยู่คราวหนึ่งท่านไม่ยอมแสดงปาฏิโมกข์ พระอานนท์ก็บอกแล้วว่า “นี่หัวค่ำนะ เที่ยงคืนแล้วนะ จะสว่างแล้ว”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราแสดงไม่ได้ เพราะพระไม่บริสุทธิ์”
พระโมคคัลลานะกำหนดจิตดูเลย มีพระที่ไม่บริสุทธิ์องค์หนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น ไปจูงมือท่านออกเลย แล้วกลับมาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า“บัดนี้สงฆ์สะอาดแล้ว สงฆ์บริสุทธิ์แล้ว นิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาฏิโมกข์เถิด”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยให้โอวาทไง สลดใจมาก “ต่อไปนี้ให้พระเป็นผู้แสดงปาฏิโมกข์นะ เราจะไม่แสดงปาฏิโมกข์อีกแล้ว”
ฉะนั้น ผู้ที่แสดงปาฏิโมกข์เป็นผู้ที่ทำการแทนพระพุทธเจ้า มีบุญกุศลมาก ทีนี้ในความเชื่อของพระกรรมฐานเรา พระกรรมฐานส่วนใหญ่จะสวดปาฏิโมกข์ได้เกือบทุกองค์เลย เกือบทุกองค์ เพราะปาฏิโมกข์บอกว่า ถ้าผู้ที่พ้น ๕ พรรษาเป็นผู้ฉลาด ผู้ฉลาดก็เหมือนผู้รู้กฎหมาย ผู้รู้กฎหมายมันไปไหนมันเอาตัวรอดได้ไงสวดปาฏิโมกข์ได้ก็เหมือนกับท่องกฎหมายได้ ท่องศีลได้ ฉะนั้น พระนี้เขาก็อยากทำ
พระปฏิบัติเราส่วนใหญ่จะได้ปาฏิโมกข์ พอได้ปาฏิโมกข์แล้ว คนที่พอท่องปาฏิโมกข์ได้ เหมือนเราท่องกฎหมายได้ มันทำอะไรมันมีสติยับยั้งนะ รู้ว่าผิด จะจับอะไรมันก็รู้ว่าผิด เพราะเราท่องอยู่ เราท่องอยู่ทุก ๑๕ ค่ำ ฉะนั้น ผู้ที่พระ ๕พรรษาเป็นผู้ฉลาด ให้พ้นจากนิสัย ฉะนั้น ผู้ที่ฉลาด ฉลาดก็ท่องปาฏิโมกข์ได้อะไรได้ พระกรรมฐานมีความเชื่อกันอย่างนี้ ทีนี้พระกรรมฐานมีความเชื่อกันอย่างนี้ พระป่ามีความเชื่อกันอย่างนี้ พระป่าส่วนใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นพระที่ปฏิบัติพระที่ดี เขาจะท่องปาฏิโมกข์ได้
ฉะนั้น พระองค์นี้ก็อยากจะท่องปาฏิโมกข์ จับหนังสือทีไร ปากเน่า จับหนังสือทีไร ปากเน่า ถ้าวางหนังสือ หาย มีความเสียใจมาก มีความเสียใจมากแต่เขาก็ต้องทนเอา นี่พูดถึงว่าเวลาเวรกรรมมันให้ผลนะ เห็น เวลามันเห็น มันเห็นอย่างนี้ เวลาคนอื่นที่เขาไม่เห็น มันก็ได้แต่คำว่า นี่เห็นกันจริงๆ เลยนะ กรรมมันให้ผลอย่างนั้น
นี่จะย้อนกลับมาว่า เวลาที่ผู้ถาม แต่ก่อนหน้านั้นเคยปฏิบัติมาเป็นครั้งเป็นคราว ปฏิบัติมาดี แต่ตอนนี้ถ้ามีอาการแบบนี้ อาการที่เขาเขียนมานี่รุนแรงเนาะแต่รุนแรงมันก็รุนแรงโดยนามธรรม เพราะเวลาเขาบอกเลย เวลานั่งสมาธิไปโอ๋ย! คอเป็นอย่างนั้นๆ เลย แต่พอลืมตาขึ้นมาพักหนึ่งก็หาย พอลืมตาขึ้นมาแป๊บหนึ่งมันก็หายครับ
นี่มันเป็นอาการของจิตทั้งหมด มันเป็นอาการไง มันเป็นความรับรู้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวมันก็หาย แต่มันรุนแรง รุนแรงที่บอกว่าโอ้โฮ! หัวเหมือนโดนฉีกเลย โดนต่างๆ เลย
มันรุนแรงของมัน มันเวรกรรมของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกันอย่างนี้ แล้วถ้าเวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน เห็นไหม ยกกลับไปที่ประวัติของหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาท่านเล่า เวลาท่านจะไปหาหลวงปู่มั่น ท่านฝัน พอหลวงตาท่านจะไปหาหลวงปู่มั่น ท่านฝัน ฝันว่าเหมือนกับว่าท่านจะไปหาหลวงปู่มั่น มันต้องข้ามฝั่งไปต้องมุดกอไผ่ไป ต้องมุดกอหนามไป ท่านฝันแล้วท่านไปเล่าให้หลวงปู่มั่นฟัง
หลวงปู่มั่นบอก ปฏิปทาของมหาจะเป็นปฏิปทาที่ขี้ทุกข์ขี้ยาก เพราะกว่ามันจะผ่านไปแต่ละชั้นเป็นตอนต้องมุดกอไผ่ไป มุดกอไผ่ไปแล้วนะ ก็ต้องพยายามดึงบริขารไป มันทุกข์มันยากมาก แต่ไปรอด มันทุกข์มันยาก แต่ไปรอด
แล้วสุดท้ายแล้วท่านก็ทำของท่าน ทำของท่านก็ทุกข์ยากจริงๆ ๙ ปี เวลาไปธุดงค์กลับมา จนหลวงปู่มั่นตกใจ เหลืองหมดเลย เป็นไข้เหลืองมานี่ อดอาหารจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
เวลาคนที่มีกำลังใจ เวลาคนที่กำลังพิจารณา ถ้ามันจะได้มรรคได้ผลนะ มันมีสัตย์ มันมีรสมีชาติ มันไปได้ มันมีกำลังใจ ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่อย่างพวกเราปฏิบัติมันไม่มีกำลังใจไง ทำอะไรแบบว่าแห้งๆ ซังกะตาย แล้วมันไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงไง แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำท่านมีมรรคมีผลนะ ท่านมุมานะ ท่านทำของท่าน
เห็นไหม เวลาท่านฝันแล้วไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเลย “ฝันของมหามันเป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยาก มันทำมันจะมีความลำบาก แต่ไปได้ แต่ผ่านพ้นไปได้ฉะนั้น ให้มหาเข้มแข็งนะ ให้มหาพยายามนะ” แล้วท่านก็พยายามของท่าน
อันนี้ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาผู้ถามไง เวลาทำไปแล้วมันมีอาการต่างๆ มันฉีกเนื้อฉีกตัวไปทั้งหมดเลย
ไอ้ฉีกนั้นเป็นอาการทั้งหมด ถ้าอาการทั้งหมดนะ มันเป็นความยึดมั่นยึดติดของใจ ถ้าใจมันปล่อยวาง ปล่อยวางสิ่งนี้ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ สู้กับมัน ถ้าสู้กับมัน มันก็ผ่านไปได้ ถ้าผ่านไปไม่ได้หรือผ่านไปไม่ไหว อย่างที่ว่านี่ ในปัจจุบันนี้เมื่อก่อนนั่งภาวนาเป็นชั่วโมงๆ ตอนนี้เต็มกลืนก็ไม่เกิน ๒๐ นาที
ไม่เกิน ๒๐ นาที เราก็มาเดินจงกรม เพราะการเดินจงกรมนี่นะ มันลืมตาอยู่การเดินจงกรม การเดินจงกรมแล้วเราใช้สติปัญญาผ่อนคลาย ผ่อนคลายให้มันเบาบางลงไง ภาษาเรานะ ชดใช้เวรกรรม ทีนี้การชดใช้เวรกรรมด้วยตบะธรรมด้วยตบะธรรมมันแผดเผา มันแผดเผานะ คุณธรรมเราแผดเผา แผดเผาไอ้เวรไอ้กรรมให้มันเบาบางลง เบาบางลงตรงไหน
เบาบางลง การตบะธรรมที่มันแผดเผา แผดเผาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยสติปัญญา เห็นไหม เดินจงกรม พิจารณาเลย พิจารณาอาการที่มันเป็นน่ะ พิจารณามันเวรกรรมสิ่งใด มันเป็นไปได้อย่างไร ร่างกายของคนจะเป็นอย่างนี้หรือไม่ ถ้าร่างกายของคนไม่เป็นอย่างนี้ มันเป็นที่ความรู้สึกหรือไม่ ถ้าเป็นความรู้สึก ความรู้สึกทำไมเป็นแบบนี้ ถ้าความรู้สึกเป็นแบบนี้ มันเกิดจากเวรจากกรรมอย่างใดถ้าเกิดจากเวรจากกรรมอย่างใด นี่ใช้สติปัญญา ตบะธรรมมันแผดเผา มันแผดเผาเจือจางให้มันเป็นผุยผงไป คำว่า “เป็นผุยผงไป” สติปัญญามันจะชะล้างชะล้างไอ้สิ่งที่มันฝังอยู่ในหัวใจน่ะ แล้วมันจะหมดไป
เพราะเขาบอกมันมีอาการ มันรุนแรงมาก ทุกอย่างมันรุนแรงมากนะ อาการเกร็ง อาการต่างๆ มันรุนแรงมาก ออกมามันยังเกร็งเลย แต่พอออกมาแล้ว พอลืมตาปั๊บ หายหมด หายหมด
มันเป็นเรื่องความรู้สึกหมด เป็นอาการทั้งหมด ถ้าหายหมดก็คือปกติ เรานั่งก็โดยปกติอยู่แล้ว ร่างกายก็เป็นเรื่องปกติ แต่จิตใจของเรา จิตใจของเรา เพราะเรื่องเวรเรื่องกรรมมันให้ผลเป็นภพเป็นชาตินะ แต่เวลาตบะธรรมมันแผดเผา เห็นไหม เวลาคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย ภพชาติเรานี่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่พอเป็นพระโสดาบันอีก ๗ ชาติ อย่างมากเกิดอีก ๗ ชาติ มันมีกำหนดแล้วถ้าเป็นสกิทาคามี พระอนาคามีไม่เกิดในกามภพ พระอนาคามีไม่มาเกิดตั้งแต่กามภพ ไม่เกิดแล้ว เกิดบนพรหม พระอรหันต์สิ้นไปเลย นี่ไง พอมันสิ้นไป ตบะธรรมมันแผดเผา แผดเผาเอาเวรกรรม
เพราะเวรกรรมนะ เวรกรรมของคนมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะหมุนไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ มันจะหมุนของมันอยู่อย่างนี้ มันจะหมุนของมันไปอย่างนี้ แต่ถ้าโสดาปัตติมรรค ถ้ามันเป็นโสดาปัตติผลนี่อีก ๗ ชาติ ถ้าตบะธรรมมันแผดเผา แผดเผาสิ่งที่มันไปตลอด มันไม่มีที่สิ้นสุด ตบะธรรมมันสำรอกมันคายจนหมดเลย
ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมนะ อาการอย่างนี้มันก็เป็นเวรกรรมของเรา มันเป็นเวรกรรมคือมันกดดันหัวใจไปตลอด แต่พอเรามาปฏิบัติมันเป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันถ้ามันลงสมาธิได้มันก็สร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลให้กุศลมันดีขึ้น
บางคนบอกว่า เราทำบุญๆ บุญเป็นอย่างไร บุญกับบาปอยู่ในใจเรามันเป็นอย่างไร เวลาบาปมันให้ผล ทำอะไรก็ผิดๆ พลาดๆ ทำอะไรไปไม่ประสบความสำเร็จ แต่เวลาคนมีบุญ ถูกรางวัลที่หนึ่ง ๒๐ ใบ ๓๐ ใบ ไอ้เราไม่ถูกสักใบ นี่มันมา มันมาอย่างนี้
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเดินจงกรมใช้สติใช้ปัญญา นี่ภาวนาเป็น ถ้าภาวนามันเป็นทุกข์เป็นยากขึ้นมา เราก็ภาวนาให้มันเป็นมรรคเป็นผล ถ้าเป็นมรรคเป็นผลเดินจงกรม
ถ้าคนมีอาการแบบนี้นะ มันมีประโยชน์อันหนึ่ง ประโยชน์อันหนึ่งหมายความว่า เวลาคนที่ภาวนาอยู่นี่ ที่มานั่งภาวนากันอยู่ ภาวนาไม่ก้าวหน้าภาวนาไม่คืบหน้า ไม่คืบหน้าเพราะอะไร เพราะมันไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีงานให้ทำน่ะ
ฉะนั้น ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มันมีงานให้เราทำ มันจำเป็น เห็นไหมเวลาคนกลัวผีมาภาวนา กลัวไปหมดเลย ไอ้ความกลัวนั้นมันเป็นเชื้อ มันเป็นอุปกรณ์ให้จิตมันได้แก้ไข ถ้ามันได้แก้ไขนะ พอมันแก้ไข โอ้โฮ! มันโล่ง มันมีความสุข มันมีความพอใจ เพราะเราได้ทำงานเสร็จไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนเขาภาวนาเขาไม่มีเหตุมีผล ไม่มีอะไรให้ทำใช่ไหม ไอ้นี่เวลานั่งภาวนาไป แต่เดิมมาก็ดีหมด แต่ในปัจจุบันนี้อาการเกร็ง อาการเกร็งที่มันกระชากหัวกะโหลกไปเลย มันแยก มันควักลูกตาเลย ต่างๆ...นี่มันเป็นเหตุเป็นเหตุให้เราใช้สติใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าเราพิจารณาแก้ไขมันๆ มันก็เป็นงานของเรา
ถ้าพูดถึงว่าในการปฏิบัติมันเป็นความทุกข์ความยาก มันเป็นอุปสรรค มันก็เป็นอุปสรรคอันหนึ่ง แต่ถ้าอุปสรรคอย่างนี้ เวร จะบอกกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมเก่ากรรมใหม่ของคน ทุกคนมันมีเวรมีกรรมทั้งนั้นน่ะ
ถ้ามีเวรมีกรรม การภาวนามันจะล้างเวรล้างกรรม ถ้าล้างเวรล้างกรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พิจารณาแก้ไข เราจะล้าง เราจะใช้ตบะธรรมแผดเผาทำลายล้างเวรล้างกรรมอันนี้ ถ้าล้างเวรล้างกรรม พอสติปัญญามันทะลุนะ โล่งหมดเลย ไอ้ที่เป็นๆ นี่หายหมดเลย แล้วจิตลงสู่ความสงบ ถ้าจิตลงสู่สมาธิได้ จิตลงสู่สมาธิได้ เข้าสู่มรรค ศีล สมาธิ ปัญญา
จิตเราลงสู่สมาธิไม่ได้ พอลงสมาธิไม่ได้ มันโดนด้วยการกระชากหัว การควักลูกตา เราลงสมาธิไม่ได้ มันเป็นอาการทั้งหมด อาการกับอาการกระทบกันทุกข์น่าดูเลย กรรมมันแสดงผล ทุกข์น่าดูเลย ถ้ากรรมมันแสดงผล ทุกข์น่าดูเลยเราใช้สติปัญญา ตบะธรรมแผดเผามันๆ ทีนี้การแผดเผามันก็แผดเผาบนหัวใจของเรา
คนที่เวลาจะภาวนาบอก “ชีวิตนี้ก็ทุกข์อยู่แล้ว ทำไมต้องมาภาวนาให้มันทุกข์มันยากขึ้นไปอีก”
เพราะเรามีสติมีปัญญาใช่ไหม ความทุกข์อย่างนี้จะพ้นจากทุกข์ใช่ไหม ตบะธรรมที่มันแผดเผาขึ้นมามันทำลายอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม เราถึงภูมิใจ ภูมิใจแล้วรื่นเริงในการกระทำ ไม่อย่างนั้นพระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยว ไปตรวจวัด “ที่นี่ที่เชือดโคของใคร ที่นี่ที่เชือดโคของใคร” เขาเดินได้อย่างไรน่ะ
เวลาหลวงตาท่านภาวนาของท่าน เวลาท่านใช้ปัญญาของท่าน จนผิวหนังฝ่าเท้าท่านบางจนเลือดซิบๆ เลย ท่านบอก อ๋อ! เข้าใจพระโสณะเลย อ๋อ! เขาเป็นอย่างนี้เอง เพราะใจมันหมุน มันมีงาน เหมือนเราทำอะไรก็ประสบความสำเร็จมันเพลิน มันเพลินกับงานจนลืมทุกเรื่องเลย แม้แต่ฝ่าเท้าแตกเลือดออกก็ยังลืมไม่รับรู้เลย มันเพลินกับผลที่มันได้
นี่เวลาเขาทำ ที่มันทำได้มันทำได้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำท่านเพลินในรสของธรรม เพลินในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเพลินอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันทุกข์มันยาก เราสู้ เราสู้เพื่อประโยชน์อันนี้ไง สู้เพื่อประโยชน์อันนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา
ภาวนาแล้วเป็น มันก็เป็นทุกข์เป็นยาก ถ้าภาวนาเป็น มันเป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา ภาวนาแล้วก็จะมีความสุข ความสงบ ความระงับ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็นการแก้ไข
ถ้าไม่แก้ไขที่การภาวนานะ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันก็จะให้ผลในชีวิตน่ะ ให้ผลในชีวิตของคน คนเราเดี๋ยวก็มีความคิดที่ปลอดโปร่ง ความคิดที่ดี เวลาคนเราไปจนตรอกนะ มันก็คิดจะเอาตัวรอด สร้างเวรสร้างกรรมอะไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ของเราถ้าเราเผชิญกับมันเลย ความจริงอย่างนี้ ภาวนาเป็นแบบนี้เพื่อประโยชน์แบบนี้นะ
ฉะนั้น เขาบอกว่า “ผมรบกวนขอให้หลวงพ่อเมตตาช่วยชี้นำให้ทีครับว่า คนอื่นทั่วไปเจออย่างกระผมหรือเปล่าครับ หรือว่ามันเป็นวาสนาของผม กรรมเฉพาะตัวของกระผมที่ทำไว้เป็นมารมาขวางกั้นในการภาวนาแบบนี้หรือไม่”
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ มันต้องเอาสมัยพุทธกาลเอาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เอตทัคคะของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านสรรเสริญท่านยกย่องใครบ้าง พระสีวลี พระโมคคัลลานะ ต่างคนต่างสร้างมาเองทั้งนั้น
เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลามาบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวามาแล้ว ตอนที่ท่านจะมาขอบวชน่ะพอบวชเสร็จแล้วท่านก็ตั้งให้ พระทั่วไปบอกเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำเอียง ไม่ตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพี่ใหญ่เป็นสงฆ์องค์แรก
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ เราพูดตามข้อเท็จจริง มันเป็นของของเขา มันเป็นของพระสารีบุตร ของพระโมคคัลลานะ ท่านสร้างมาตั้งแต่อดีตชาติ ท่านสร้างมาท่านปรารถนาเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ท่านสร้างบารมีของท่านมา ท่านทำของท่านมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำเฉพาะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวกท่านทำของท่าน แต่ด้วยวาสนาของคนมันมาเกิดร่วมกัน แล้วถึงเวลาแล้วท่านก็ชี้ว่าเป็นของของเขา ท่านตั้งของเขา
อันนี้ก็ย้อนกลับมาที่เรา อะไรที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของจิตประสบการณ์ของเรา ของเราทั้งนั้น ความคิดดีคิดชั่ว ความคิด ความคิดก็ของเราทั้งนั้น ถ้ามันมีแนวโน้ม แนวโน้มกรรมเก่ามามันก็คิดเหลวไหล ถ้ามันมีแนวโน้มทางบุญมามันก็คิดดีๆ แล้วในปัจจุบันนี้มันก็มีทั้งคิดดีและคิดชั่วอยู่ในใจของเรา
ในปัจจุบันเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องดีๆ แล้วสอนเรื่องดีๆ แล้วสอนให้พวกเรามีสติมีปัญญาด้วย ให้พวกเราเป็นคนที่ควบคุมตัวเองด้วย ให้พวกเราเป็นคนส่งเสริมในทางดีทางชั่วด้วยฉะนั้น เรามีสติปัญญาอย่างนี้ เราก็ส่งหนุนแต่สิ่งที่ดีๆ
ดีๆ ต้องดีๆ ในศีลในธรรมนะ อย่าดีเราคิดว่าดี ถ้าเราคิดว่าดี โอ้โฮ! เราก็คิดของเราไปเรื่อย ต้องดีในศีลในธรรม ถ้าดีในศีลในธรรมเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงวิธีที่การแก้เนาะ แก้ของเรา เห็นไหม
การภาวนาแล้วจิตที่มันเกร็ง มันเกร็งแล้วเราเริ่มต้นตั้งแต่นั่นเลย ตั้งแต่ว่าถ้าจิตมันผิดปกติมาบ้าง ไอ้นั่นต้องกลับไปทำให้เป็นปกติก่อน จิตของคนที่ว่ามันย้ำคิดย้ำทำต่างๆ มันมี มันมีขึ้นมา แต่เราคิดว่าเราภาวนาเพื่อประโยชน์กับเรา ใช่ภาวนาเพื่อประโยชน์กับเรา แต่ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วเราไม่ลงลึกไปจนใช้ปัญญา ใช้ปัญญามันจะออกเป็นจินตนาการไป เราต้องกลับมาให้เป็นปกติ แล้วถ้าจิตเป็นปกติแล้วนะ ทีนี้เป็นเรื่องของเราแล้ว จิตเป็นปกติ ทุกอย่างพร้อม ทุกอย่างพร้อมเราจะทะลุทะลวงเวรกรรมของเรา
ขันธ์ ๕ เหมือนเปลือกส้ม เราปอกเปลือกส้ม เราจะกินผลส้ม ขันธ์ ๕ คือความรู้สึกนึกคิด จิต จิตคือจิตเดิมแท้ จิตมันเป็นเนื้อของจิต ถ้าจิตสงบเข้ามา มันผ่านเปลือกเข้ามา ผ่านขันธ์ ๕ เข้ามา มันก็สู่จิต ถ้าสู่จิตก็สู่ใจของเรา สู่ใจของเราก็สู่สัมมาสมาธิ ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในเนื้อของส้ม เนื้อของส้มมันมีรสชาติ ไม่ใช่ขมๆ เหมือนเปลือกส้ม
เปลือกส้มมันขมๆ อารมณ์ความรู้สึกของเราทุกข์ๆ ยากๆ เข้าไปสู่เนื้อส้มมีรสหวาน รสหวาน รสของสัมมาสมาธิมีความสงบระงับ แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดวิปัสสนา วิปัสสนาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในเหตุในผล รู้แจ้งในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่ว รู้แจ้งในเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันสำรอกมันคายขึ้นไป นั่นน่ะมันจะเป็นผลของเรา นี้ปฏิบัติเพื่อเหตุนี้
ปฏิบัติมา ถ้าภาวนาเป็น มันก็เป็นมรรคเป็นผล ถ้าภาวนาแล้วมันเป็นทุกข์เป็นยาก อันนั้นเป็นเรื่องเป็นเวรเป็นกรรม ถ้าภาวนาเป็น เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาแล้วปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันจะเป็นผลของเรา เอวัง